7 มิ.ย. 2559

นุ้ยไปเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2559 นะคะ ผีเสื้อเยอะมาก 



จุดดูผีเสื้อจะเริ่มตั้งแต่บ้านกร่างแคมป์เป็นต้นไปนะคะ เราจะผ่าน 3 ลำธาร ผีเสื้อเยอะทั้ง 3 ลำธารเลย
และจะพบเห็นผีเสื้อบินตลอดทางด้วย 




ผีเสื้อที่นี่ค่อนข้างเชื่องนะคะ เลยทำให้โดนรถเหยียบตายซะเยอะเชียว





เสียดายตอนอัดวีดีโอไม่ได้ใช้กล้องใหญ่ ใช้มือถือซะงั้นพอเอาลงยูทูปเลยไม่ค่อยชัด อยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ ได้เห็นความสวยงามชัดๆ จังเลยค่ะ สงสัยต้องไปถ่ายใหม่


7 พ.ค. 2559

สาวๆ พาเที่ยวอินโดนีเซีย #4 หนึ่งวันในยอร์คยาการ์ต้า

วันนี้เราได้ตื่นสายกันขึ้นนิดนึงค่ะ ตื่นตี 3 รถมารับตอนตี 4 คนขับรถเช่าให้พวกเราวันนี้เป็นนักเรียนไทยที่มาเรียนปริญญาตรีที่ประเทศอินโดนีเซีย ชื่อน้อง อาลีฟ ค่าบริการไม่แพงค่ะ ค่าเช่ารถ 300,000 Rp. ค่าแรงคนขับ 100,000 Rp. (100,000 Rp.=256 บาท) เจอคนไทยแบบนี้ก็สบายค่ะ ช่วยในเรื่องการสื่อสารกับคนท้องถิ่นได้เยอะทีเดียว และน้องก็บริการดีจะไปซื้อของน้องยังช่วยต่อรองราคาให้ แถมอยู่จนถึงเวลาที่เราต้องกลับไปขึ้นรถไฟไปที่สุราบายาตอนสี่ทุ่มอีกด้วย ใครสนใจใช้บริการติดต่อน้องได้นะคะ https://www.facebook.com/abenkob?fref=ufi&pnref=story

มาเรื่องเที่ยวกันต่อค่ะ จุดหมายแรกของเรา คือ เก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟเมราปี การจะเดินทางเข้าไปจะต้องใช้บริการรถจี๊ป ค่าบริการ 300,000 Rp. ใครจะไปแนะนำว่าอย่าทานอาหารเยอะก่อนนั่งรถนะคะโดนเขย่าจนออกมาหมดแน่ๆ 

ใช้เวลานานพอสมควรเลยค่ะ กว่าจะไปถึงจุดชมวิว เมราปีเป็นภูเขาไฟ 1 ใน 129 ลูกของภูเขาไฟในอินโดนีเซียที่ยังไม่สงบ และรอวันประทุอยู่ ครั้งล่าสุดที่ประทุคือเมื่อเดือนตุลาคม 2553 มีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน และผู้คนกว่า 350,000 คน ต้องอพยพย้ายที่อยู่ ดูจากภาพข่าวในช่วงนั้น หมอกควันและฝุ่นปลิวไปไกลถึงตัวเมืองยอร์คยาการ์ต้าเลยค่ะ และเค้าว่ากันว่าภูเขาไฟลูกนี้จะประทุทุกๆ 5-6 ปี ที่นี่เป็นที่แรกในอินโดนีเซียนะคะ ที่ไม่เจอนักท่องเที่ยวชาวไทยเลย

ตอนนี้ก็ดูสวยงามดีนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยประทุจนสร้างความเสียหายได้มากมายขนาดนั้น

ตรงนี้เป็นทางไหลของลาวาค่ะ

บังเกอร์สำหรับหลบภัย แต่ใช้งานจริงไม่ได้ เพราะว่าเวลาที่ลาวาไหลมาจริงๆ ภายในจะร้อนราวกับเตาอบทีเดียว

รถจี๊ปบริการนักท่องเที่ยว

นุ้ยว่าก่อนภูเขาไฟระเบิดถนนคงไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะยังเห็นบางส่วนของถนนที่ไม่เสียหายเป็นคอนกรีต แต่ก็มีน้อยมากค่ะ เหลือเป็นหย่อมๆ 

เมื่อภูเขาไฟระเบิดก็พ่นหินและแร่ธาตุออกมามากมาย จึงมีการขุดไปขาย มีรถบรรทุกวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่

 จุดชมวิวจุดต่อมาจะเป็นบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน

หินก้อนนี้กระเด็นมาจากปล่องภูเขาไฟโน่นค่ะ 

 ดูขนาดก้อนหินเทียบกับตัวพวกนุ้ยนะคะ ที่นี่ห่างจากภูเขาไฟประมาณ 7 กิโลเมตร

เข้าไปในหมู่บ้านกันค่ะ ตอนนี้ที่นี่ประกาศเป็นเขตห้ามพักอาศัยแล้ว แต่เจ้าของบ้านนี้ได้เก็บส่วนที่เหลือของบ้านไว้เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม น้องอาลีฟเล่าว่า เมื่อก่อนคุณป้าเจ้าของบ้านจะมานั่งอยู่ที่บ้านนี้ด้วย คุณป้าดูเศร้ามากๆ แต่วันที่นุ้ยไปคุณป้าไม่อยู่นะคะ มีแต่คุณลุงที่มาทำความสะอาด คือ ฝนตกคืนก่อนที่เราจะมา พื้นก็เป็นโคลน แต่คุณลุงก็พยายามจะถูโคลนออกจากพื้นบ้านส่วนที่เหลือยู่น้อยนิด แกคงรักบ้านนี้มากนะคะ ป้ายที่เขียนไว้หน้าบ้าน MEMORIKU= ความทรงจำ OMAHKU=บ้านของฉัน

เข้าไปชมด้านในกันนะคะ

ที่ผนังบ้านจะมีภาพเหตุการณ์ในช่วงปี 2553 แสดงอยู่

ข้างของเครื่องใช้ที่เหลืออยู่

เห็นซากของสัตว์เลี้ยงแล้วนุ้ยก็อดสงสัยไม่ได้นะคะ ว่ามันหนีไม่ทัน หรือมันโดนล่ามไว้เลยหนีไปไหนไม่ได้

ความร้อนทำลายทุกอย่าง

ไม่รู้ว่าเจ้าของขวดนี้จะเป็นยังไงบ้าง

บ้านอีกหลังนึงยังคงเก็บฝุ่นและขี้เถ้าที่ทับถมกันอยู่ในห้องไว้ สูงเป็นฟุตเชียวค่ะ ประเทศเราโชคดีนะคะที่ไม่มีภูเขาไฟ ออกจากบ้านหลังนี้แล้วเราก็เดินทางต่อไปที่วัดเมนดุด ซึ่งเค้าว่ากันว่าเก่าแก่กว่าบุโรพุทโธ

ภาพแกะสลักรอบวัด

ภายในจะมีพระพุทธรูปอยู่นะคะ 

แม่ค้าขายของที่นี่จะฮาร์ดเซลส์มากค่ะ เดินรุมเราถึงรถทีเดียว เสื้อผ้าจะราคาไม่แพงค่ะ นุ้ยซื้อ 5 ตัว 100,000 Rp. ส่วนเพื่อนได้ราคา 6 ตัว 100,000 Rp. ถ้าอยู่กันนานกว่านี้ไม่รู้จะลดให้อีกหรือเปล่านะคะ จุดต่อไปที่เราเดินทางไปคือ วัดพาวอน

 

วัดพาวอนเป็นจุดกลางของเส้นตรงทอดยาวจาก บุโรพุทโธ ไปยังวัดเมนดุด ทำให้สันนิษฐานว่าทั้งสองที่เป็นส่วนหนึ่งของบุโรพุทโธ จริงๆ แล้วตั๋วเข้าชมที่วัดเมนดุดจะรวมค่าเข้าชมวัดพาวอนด้วยนะคะ แต่ตอนพวกนุ้ยเข้าวัดเมนดุดเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ตั๋วเข้าชม พวกนุ้ยก็ไม่ได้ทักท้วง เพราะตั้งแต่เที่ยวประเทศนี้มา ไม่เคยมีตั๋วเข้าชมสักที่ แต่พอมาถึงวัดเจ้าหน้าที่เรียกหาตั๋วแล้วไม่มี พวกนุ้ยเลยต้องเสียค่าเข้าชมอีกรอบค่ะ จุดหมายปลายทางต่อไป คือ บุโรพุทโธ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีจุดซื้อตั๋วแยกจากนักท่องเที่ยวท้องถิ่นนะคะ จะเป็นห้องแอร์ มีเวลคั่มดริ๊งค์ให้ด้วย การเข้าชมแต่ละช่วงเวลาจะมีราคาแตกต่างกัน เราก็นั่งคิดกันอยู่นานว่าจะรอชมตอนเย็นเก็บภาพช่วงพระอาทิตย์ตกดีกว่าหรือเปล่า แต่ก็จะราคาแพงกว่ามาก และเนื่องจากฝนที่ตกมาช่วงเย็นทุกวัน เราเลยตัดสินใจเข้าชมในช่วงเวลาปกติเลย 

 

อาคารแสดงความเป็นมาของการบูรณะบุโรพุทโธ

นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ

และแล้วสิ่งที่พวกเรากลัวก็เกิดขึ้นค่ะ ฝนตกตั้งแต่เราขึ้นไปได้ประมาณ 20 นาที ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปกันเท่าไหร่เลย เราก็ยอมยืนตากฝนกัน เพื่อรอเวลาฝนหยุดจะได้ถ่ายรูป แต่พอฝนหยุดคนก็เยอะเหมือนเดิม หยุดแป๊บเดียวตกอีกแล้ว

ฝนตกๆ หยุดๆ หลายรอบจนใกล้จะหกโมงเย็นฝนก็กระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยค่ะ พวกเราเปียกไปตามๆ กัน นุ้ยก็ประมาทคิดว่าที่คลุมกันฝนของกระเป๋ากล้องเอาอยู่ ที่ไหนได้พอกลับถึงที่พักเปิดดู ด้านในเปียกซ่กเลยค่ะ แล้วกว่าจะกลับถึงบ้านก็อีกวันนึง รอบนี้เสียค่าดูแลรักษากล้องเยอะแน่ๆ อยากจะร้องไห้ ออกจากบุโรพุทโธเราก็กลับไปอาบน้ำเก็บของที่ที่พัก แล้วไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางเข้าเมืองสุราบายา (ตอนแรกยอร์คยาการ์ต้าไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางค่ะ เลยไม่ได้ซื้อตั๋วกลับที่เมืองนี้ แต่แอร์เอเซียเลื่อนไฟล์ทบินของพวกเรา เราเลยเลื่อนวันกลับเพื่อให้ได้มาเที่ยวที่นี่) จบทริปการเดินทางท่องเที่ยวอินโดนีเซียของพวกเราแล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

 

29 เม.ย. 2559

สาวๆ พาเที่ยวอินโดนีเซีย #3 ผจญภัยที่ Ijen

คืนวันที่ 15 เมษายน พวกเราตื่นกันตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่งค่ะ รีบลุกขึ้นมาแต่งตัวเตรียมขึ้นรถไปคาวาอิเจ้นซึ่งจะมารับพวกเราตอนตี 1 ที่โรงแรมเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว เป็นกาแฟ ขนมปังทาเนย 1 คู่ และไข่ต้ม แต่ตอนนั้นกินไม่ลงค่ะ เลยพยายามฝืนใจกินไข่ต้มและกาแฟไปจะได้พอมีแรงเดินขึ้นเขา

พอไปถึงที่ทำการอุทยานอีเจน-เมราปิมาลัง เราต้องใช้บริการไกด์ท้องถิ่นค่ะ ค่าบริการของพวกเรารวมอยู่ในแพคเกจกับค่ารถแล้ว แต่น้องคนไทยที่มากันเองบอกว่าค่าไกด์ (250,000 Rp.) ไกด์บอกว่าวันนี้คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก ไกด์ของพวกเราชื่อฮาร์ดี้ น่ารักมากช่วยถือของให้กับพี่ๆ ที่เดินไม่ค่อยไหวตลอดทาง เราเริ่มเดินขึ้นเขากันตอนประมาณตี 2 ใครจะไปอย่าลืมไปฉายเลยนะคะสำคัญมาก เพราะทางมืดมาก ยิ่งตอนลงเหมืองไม่มีไฟฉายนี่จบเลยเดินลำบากแน่ๆ เดินๆ ไปแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นระทางแค่ 3.8 กิโล นุ้ยรู้สึกว่ามันไกลมากๆ ปากปล่องอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,300 เมตร ตอนเดินขึ้นเขาก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้วนะคะ พอมาถึงปากทางลงเหมืองนี่นุ้ยแทบลมจับเลยทีเดียว ทางลงเหมืองลึกมาก ไกลมาก และมืดมาก เห็นแต่ดวงไฟเล็กๆ สุดลูกหูลูกตา ใจก็คิดว่าไม่ไหวแน่ๆ กลัวมากๆ ค่ะ รู้สึกว่า 2 ข้างทางเดินมีแต่เหว

แต่เมื่อคนอื่นไปได้ เราก็ต้องไปได้ (มั้ง) ก็ค่อยๆ พยายามไต่ลงไปใช้ทั้งมือทั้งขา ไฟฉายก็ต้องถือ ขาตั้งกล้อง กระเป๋า น้ำตาจะไหล ช่วงไหนที่คนเดินขาดช่วงนุ้ยก็จะหยุดก่อน เพราะไม่รู้จะไปทางไหน รอให้มีกลุ่มคนเดินมาแล้วค่อยตามเค้าไป ส่วนไกด์เราดูแลพี่อีกคนที่เดินไม่ค่อยไหวอยู่ไกลๆ โน่นค่ะ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็น่ารัก จะคอยบอกว่าเดินตรงไหน เหยียบตรงไหน กว่าจะไปถึงข้างล่างนุ้ยรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน พอใกล้ๆ จะถึงบริเวณปล่องก็มีไกด์ของกรุ๊ปอื่นบอกว่า blue fire ใกล้จะดับแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 10 นาที นุ้ยก็รีบบอกเพื่อน แล้วก็รีบเดินไป แต่ยังไปไม่ถึงหรอกค่ะ เห็นคนเยอะมากที่ตั้งขาก็ไม่มี ก็ลองส่องจากไกลๆ ก่อน 

 

ได้มาแค่นี้เองค่ะ พอคิดว่าจะขยับขยายที่ก็ไม่ทัน พายุควันตลบลงมาเสียก่อน ดีว่าเคยอ่านที่เค้ารีวิวกันมาบ้างแล้ว เลยรีบนั่งลงกับพื้น แล้วเอาหน้ากากมาครอบทับผ้าปิดจมูกอีกที แต่ก็เอาไม่อยู่นะคะ สำลักแทบแย่เหมือนกัน พอควันเริ่มจางเงยหน้าขึ้นไป blue fire ก็หายไปแล้ว ฮือๆๆ ตรงจุดที่พี่เค้านั่งอยู่ คือจุดที่ blue fire เคยลุกโชติช่วง แอบอิจฉาตะหงิดๆ เค้าคงได้รูปไฟสวยๆ ไปด้วย

 บริเวณปากปล่องที่เค้าทำเหมืองกำมะถัน

รูปที่ไกด์ท้องถิ่นถ่ายให้จากกล้องของเพื่อนนุ้ย

ถ่ายๆ กันอยู่ก็ต้องหนีเป็นพักๆ

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่ไปก็จะถ่ายภาพคนแบกกำมะถันขึ้นมาจากเหมือง แต่พวกนุ้ยไม่เจอเลยนะคะ เจอแต่ตะกร้าตากอยู่ระหว่างทาง ไม่รู้ว่าเค้าขนกันตอนไหน นุ้ยเดินกันของนิดเดียวยังแย่ พี่ๆ เค้าขนกำมะถันหนักหลายๆ กิโลกันได้ยังไงเนี่ย 

ถ่ายรูปเล่นกันสักก็ได้เจอพี่ๆ เค้าแบกกำมะถันขึ้นมาแล้วค่ะ มีแค่รองเท้าบู๊ตยางแต่สามารถเดินขึ้นลงเหมืองได้โดยแบกของหนักๆ พวกเราสู้ไม่ได้จริงๆ 

พอควันเริ่มจางเราก็ได้เห็นทะเลสาบที่อุมไปด้วยกรดกำมะถันแล้ว สีสวยมากเลยนะคะ

เห็นทางกลับแล้วก็คิดในใจ เมื่อคืนลงมาได้ยังไง

หนทางอีกไกล แสนไกล

ดีที่มีวิวสวยๆ ค่อยช่วยปลอบใจ

ไม่รู้ว่าธรรมชาติสร้างสรร หรือเพราะฝีมือมนุษย์นะคะ

เห็นธรรมชาติบ้านเค้าแล้วก็พอทำให้หายเหนื่อย

สำหรับใครที่เดินไม่ไหว เค้ามีบริการรถแท๊กซี่ด้วยนะคะ ราคาแล้วแต่จะต่อรองกัน

มีเบอรี่ให้ชิมระหว่างทาง

เพื่อนร่วมกรุ๊ปก็ตาไว เห็นค่างจากยอดไม้ไกลๆ

ที่มาเล่นกันใกล้ๆ ก็มีนะคะ แต่ถ่ายรูปไม่ทัน มาเร็วเคลมไวมาก ระหว่างทางทีร้านกาแฟให้นั่งพักด้วย ก็จะเป็นกาแฟ 3 in 1 มีกาแฟขาว กาแฟดำ ที่อินโดนีเซียไม่ว่าจะไปที่ไหน กาแฟแก้วละ 5,000 Rp. เท่ากันหมดค่ะ ไม่ได้ขึ้นราคาเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบบ้านเรา (ยกเว้นในที่พักนะคะ) นุ้ยกลับมาถึงรถกันเวลาประมาณ 9.30 น. ขนาดว่านุ้ยเข้าฟิตเนสและวิ่งวันละ 5 กม. เตรียมตัวมาเป็นเดือนๆ ก่อนเดินทางมายังแย่เลยค่ะ ปวดขาไปตามๆ กัน ถ้าจะกลับมาแก้มืออีกที คงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ ออกจากอิเจ้นเราก็เดินทางต่อไปโบรโม่ค่ะ

 

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ